สารบัญ
หากเราพูดถึงเรตินอลแล้ว หลายคนอาจจะรู้จักและคุ้นเคยกันมาบ้าง แต่บางคนอาจจะยังไม่เคยรู้จัก โดยที่มันสามารถส่งผลดีต่อผิวพรรณของเราอย่างไร วันนี้เรามาทำความรู้จักกับผลิตภัณฑ์ตัวนี้กันค่ะ
เรตินอล หรือ retinol ช่วยอะไร
คือชื่อเรียกรวมของกลุ่มอนุพันธุ์วิตามิน A ซึ่งมีสารหลากหลาย เช่น
- Retinaldehyde
- Retinoic Acid
- Adapalene
อีกทั้ง คืออนุพันธุ์ Retinoid ที่อนุญาตให้ใช้ในเครื่องสำอางได้ตามกฎ FDA ทั่วโลกค่ะ ส่วนอนุพันธุ์ที่เป็นยาควรให้แพทย์สั่งจ่าย คือ Retinoic Acid หรือที่คนทั่วไปรู้จักในชื่อการค้าว่า Retin-A ซึ่งเป็นสารคนละตัวกันค่ะ
สารตัวนี้อาจจะไม่ได้เด่นมากแค่เรื่องของริ้วรอย แต่ยังเด่นมากเรื่องรักษาสิว และช่วยให้ผิวเรียบเนียนละเอียดขึ้นดีมากด้วย ซึ่ง AHA/BHA หรือยารักษาสิวอื่นให้ผลตรงนี้ไม่ดีเทียบเท่า ถ้าเป็นผู้ชาย หรือไม่ได้ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ใช้กลุ่ม Retinoid อย่างถูกวิธี ไม่ได้มีผลเสียอะไรเลย มีแต่ผลดีค่ะ
Retinoid ไม่ได้ทำให้ผิวบางลง แต่ถ้าใช้ผิดวิธี คือใช้ในปริมาณหรือความถี่ที่มากเกินไป จะทำให้ผิวแห้งระคายเคืองได้ แต่ถ้าใช้เป็น ใช้ถูกวิธี ในปริมาณและความถี่ที่พอเหมาะสมดุลกับผิว พร้อมกับใช้กันแดดทุกวัน (ซึ่งเราควรทากันแดดทุกวันอยู่แล้ว) Retinoid มีงานวิจัยว่ากระตุ้นการสร้างคอลลาเจนทำให้ผิวยิ่งแข็งแรง ผิวเรียบเนียนกระชับแน่น
เมื่ออ่านดูแล้ว บางคนอาจจะรู้สึกน่ากลัว แต่สรุปง่ายๆ คือวิตามินเอรูปแบบหนึ่งที่ถูกนำมาเป็นส่วนผสมในการผลิตพวกครีมทาหน้าและเซรั่ม เพราะความสามารถที่ดีที่สุดคือความสามารถในการเร่งสร้างเซลล์ผิวใหม่และช่วยเรื่องการสร้างคอลลาเจนได้เป็นอย่างดี
Retinol ดีต่อผิวอย่างไร
มักเป็นส่วนผสมที่เราพบบ่อยๆ ในสกินแคร์ Anti-aging ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของครีม เซรั่ม หรือ eye cream เป็นต้น
มีประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ช่วยลดเลือนริ้วรอยต่างๆ อีกทั้งยังทำให้รอยต่างๆ ดูตื้นขึ้น , สีผิวดูสม่ำเสมอ , รูขุมขนดูเล็กลง, หน้ากระชับ และใสขึ้น ซึ่งที่พบอยู่ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ก็มักจะมีชื่อดังต่อไปนี้
- retinyl palmitate
- retinaldehyde
- retinyl retinoate
- retinyl propionate
และถึงแม้ว่า หลายๆคนจะบอกว่า สารตัวนี้ จะให้ประสิทธิภาพได้ดีที่สุด มากกว่า รูปแบบอื่นๆ ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ถ้าหากเราใช้สารตัวนี้ ในรูปแบบต่างๆ จะไม่มีประโยชน์เลย
ทำงานอย่างไร
มาถึงเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เมื่อใช้ผลิตภัรฑ์ที่มีส่วนผสมดังกล่าว กับผิว ร่างกายจะดูดซึม แตกตัว และเปลี่ยนเป็นกรดเรติโนอิก องค์ประกอบนี้สามารถส่งผลต่อโครงสร้างเซลล์ (กระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจน/เซลล์ใหม่) กระบวนการแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นทันทีเมื่อคุณใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีส่วนผสมของ retinoid บางครั้งจะต้องใช้หลาย ๆ ครั้งก่อนที่มันจะเริ่มเปลี่ยนเป็นกรดเรติโนอิก เพื่อผลลัพธ์ให้เร็วขึ้น สามารถใช้ได้เมื่อมีใบสั่งจากแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้น
วิธีการใช้
- ส่วนใหญ่นิยมใช้ในเวลากลางคืนมากกว่ากลางวันเนื่องจาก สารชนิดนี้มีความไวต่อแสง
- แต่หากใครที่ต้องการทาตอนกลางวัน ก็ต้องอย่าลืมที่จะทากันแดด ที่มีค่า SFP ไม่ต่ำกว่า 30 ส่วนลำดับในการทา ไม่อยากอย่างที่คิด หากเรามี serum หรือ บำรุงที่มีอยู่แล้วให้ทา ตามลำดับที่เราทาเป็นประจำก่อนแล้วจึงทาเป็นลำดับสุดท้ายก็ได้
- ส่วนใหญ่นิยมใช้ที่ใบหน้ากัน แต่อย่าลืมว่าปัญหาผิวของเรา บางครั้งไม่ได้เกิดที่บริเวณใบหน้าเพียงอย่างเดียว ปัญหาบริเวณคอ หัวไหล่ อก หรือ บริเวณหลัง หากเราต้องการดูแลก็สามารถที่จะใช้ในการดูแล ได้เช่นกัน
การที่เราต้องการรักษาหรือป้องกันการเกิดปัญหาริ้วรอยต่างๆ ดังนั้นถือว่าเป็นส่วนผสมสำคัญหลักๆ ที่ดูแลในเรื่องนี้ได้ดีมากๆ และเพื่อให้มันทำงานได้ดียิ่งขึ้น เราควรมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสม ของพวก Antioxidants, Niacinamide , หรือส่วนผสมที่ช่วยเติมเต็มให้กับผิว
การใช้เรติตอลนั้นถึงแม้ว่าจะตอบโจทย์สำหรับใครหลายๆ คน แต่การใช้ก็จำเป็นต้องมีความระมัดระวัง เนื่องจากเป็นส่วนประกอบที่ค่อนข้างแรง เมื่อใช้ปริมาณที่มากเกินไปอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังได้ และอาจทำให้ผิวบอบบางเกินไปทำให้ไวต่อแสงแดด
สำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย และบอบบาง จำเป็นต้องใช้อย่างระมัดระวัง เนื่องจากในส่วนผสมของแต่ละผลิตภัณฑ์นั้น มีค่าส่วนประกอบของ เรตินอล ที่หลายหลาย ตั้งแต่ 0.1% ถึง 1 % ดังนั้นหากเราไม่เคยใช้มาก่อน อาจจะค่อยๆ ทาหรือเทส บริเวณหลังหูก่อนทุกครั้งว่ามีอาการระคายเคืองหรือไม่ หากไม่มีอาการระคายเคือง ให้เริ่มต้นใช้จากปริมาณส่วนผสมที่ค่าน้อยก่อนและค่อยๆ เพิ่มไปเรื่อยๆ เพื่อให้ผิวได้มีการปรับสภาพตามลำดับค่ะ
แค่นี้ หากเรารู้วิธีการใช้และการเลือกปริมาณความเข้มข้นได้ตรงกับผิวเรา ก็สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยและช่วยให้ผิวเราดีขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ