สารบัญ
เพราะผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้ามีหลายประเภทให้เลือกใช้ตามความต้องการ แต่ว่าเราเข้าใจอย่างถูกต้องกันหรือยังว่า จริงๆ แล้วว่า คลีนซิ่ง คืออะไร AquaPlus จึงรวบรวม 10 คำถามยอดฮิต พร้อมคำตอบที่เกี่ยวกับคลีนซิ่งให้ทุกคนได้คลายความสงสัยกัน และเพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจเกี่ยวกับคลีนซิ่งกันมากขึ้นนั่นเอง
คลีนซิ่ง คืออะไร
คลีนซิ่ง คือ ผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ทำความสะอาดคราบเครื่องสำอางที่ไม่สามารถเช็ดหรือล้างออกได้ด้วยน้ำเปล่าและโฟมล้างหน้าออกไปจากบนผิวหน้า เพื่อให้ไม่เกิดการสะสมของสิ่งสกปรกจากคราบเครื่องสำอาง
แตกต่างกับคลีนเซอร์ไหม?
ทั้งคลีนเซอร์และคลีนซิ่งต่างก็เป็นตัวช่วยทำความสะอาดผิวหน้า แต่คลีนเซอร์และคลีนซิ่งก็มีข้อแตกต่างกันคือ คลีนเซอร์ไม่สามารถกำจัดคราบเครื่องสำอางที่กันน้ำได้อย่างหมดจด ทำให้เราอาจต้องใช้คลีนซิ่งเพื่อเช็ดคราบเครื่องสำอางออกให้หมดก่อน แล้วจึงใช้คลีนเซอร์เพื่อทำความสะอาดรูขุมขนอีกครั้งหนึ่ง
จำเป็นต้องใช้หรือไม่?
หากไม่ได้แต่งหน้า หรือ ไม่ได้แต่งหน้าแบบจัดเต็มและเป็นเครื่องสำอางที่ไม่สามารถกันน้ำได้ สามารถใช้คลีนเซอร์โดยที่ไม่ต้องใช้คลีนซิ่งในการเช็ดคราบเครื่องสำอางออกก่อนได้เลย แต่หากเราใช้เครื่องสำอางแบบจัดเต็มหรือใช้เครื่องสำอางที่ป้องกันเหงื่อ กันน้ำ ก็จำเป็นต้องใช้คลีนซิ่งเช็ดเพื่อทำความสะอาดผิวหน้าก่อน จึงค่อยใช้คลีนเซอร์ในการทำความสะอาดต่อในขั้นตอนต่อไป
ใช้อย่างไร?
คลีนซิ่งใช้ในขณะที่หน้ากำลังแห้ง สามารถใช้คลีนซิ่งลบเครื่องสำอางได้เลยโดยที่ไม่ต้องใช้น้ำทำให้ผิวหน้าเปียกก่อน ซึ่งก็มีวิธีการใช้ตามในแต่ละแบบ โดยส่วนใหญ่มีการใช้อยู่ 3 วิธีคือ ใช้สำลีเช็ด นวดบนผิวหน้า และเป็นแผ่นเช็ด
มีกี่แบบ? มีแบบไหนบ้าง?
คลิ่นซิ่งที่มีอยู่ทั่วไป มีอยู่ 7 แบบ ได้แก่
- คลีนซิ่งน้ำ
- คลีนซิ่งออยล์
- คลีนซิ่งน้ำนม
- คลีนซิ่งเจล
- คลีนซิ่งแผ่น
- คลีนซิ่งครีม
- คลีนซิ่งบาล์ม
แต่ละแบบเหมาะกับผิวแบบไหนบ้าง?
แต่ละสภาพผิวต่างก็ต้องการการดูแลที่แตกต่างกันออกไป โดยคลีนซิ่งแต่ละแบบเหมาะสภาพผิวดังนี้
-
สูตรน้ำ เหมาะกับผิวมันและผิวผสม
เนื่องจากคลีนซิ่งน้ำไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน จึงเหมาะกับผิวมันและผิวผสมเป็นพิเศษ
-
สูตรออยล์ เหมาะกับผิวแห้ง
เพราะคลีนซิ่งออยล์มีส่วนผสมของน้ำมัน ทำให้ไปเติมเต็มความชุ่มชื้นให้กับผิว ไม่ทำให้ผิวแห้ง
-
สูตรน้ำนม เหมาะกับผิวเป็นสิวง่าย
เพราะผิวเป็นสิวง่ายต้องการความอ่อนโยนและความชุ่มชื้นเป็นพิเศษ คลีนซิ่งน้ำนมเป็นคลีนซิ่งที่มีความอ่อนโยนและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว จึงเหมาะกับผิวเป็นสิวง่ายเป็นพิเศษ
-
สูตรเจล เหมาะกับผิวแพ้ง่าย
เพราะเป็นคลีนซิ่งที่มีความอ่อนโยนสูงมาก แต่ด้วยความที่มีความอ่อนโยนและเบาบางมาก ๆ จึงอาจต้องใช้เวลาในการทำความสะอาดนานกว่าคลีนซิ่งแบบอื่น
-
แบบแผ่น เหมาะกับทุกสภาพผิว
แต่อาจต้องใช้หลายแผ่น ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น
-
แบบครีม เหมาะกับผิวแห้งถึงแห้งมาก
เนื่องจากคลีนซิ่งครีมมีลักษณะเป็นเนื้อครีม ซึ่งมีสารบำรุงและสารให้ความชุ่มชื้นอยู่ในตัวสูง ทำให้ผิวไม่แห้งและมีความชุ่มชื้นมากขึ้น
-
แบบบาล์ม เหมาะกับทุกสภาพผิว
เพราะมีความอ่อนโยนและมีความชุ่มชื้นที่เหมาะกับทุกสภาพผิว แต่อาจมีความหนืดและเหนียวเหนอะหนะมากกว่าคลีนซิ่งแบบอื่น
Cleansing ที่ปลอดภัย ไม่ระคายเคืองผิว ไม่ควรมีส่วนผสมของสารอะไร?
คลีนซิ่งและคลีนเซอร์ที่ใช้แล้วปลอดภัย ไม่ระคายเคืองผิว ไม่ทำให้เกิดสิว ต้องปราศจากสารดังต่อไปนี้
- แอลกอฮอล์
- พาราเบน หรือ สารกันเสีย
- น้ำหอม
- Sodium Lauryl Sulfate (SLS) และ Sodium Laureth Sulfate (SLES)
- สีสังเคราะห์
ซึ่งสารเหล่านี้เป็นตัวการที่ทำให้ผิวหน้าเกิดการระคายเคือง มีเซลล์ผิวที่อ่อนแอลง ทำให้เป็นสิวง่าย เกิดริ้วรอยก่อนวัยต่าง ๆ และอาจทำให้เกิดสิวอักเสบ บวมแดงได้
เลือกใช้อย่างไรดี?
การเลือกใช้คลีนซิ่ง เราต้องพิจารณาถึงส่วนผสมในคลีนซิ่ง คือ ต้องไม่มีสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ไม่ทำให้ผิวอักเสบ บวมแดง หรือแสบคัน รวมถึงต้องเลือกดูชนิดของคลีนซิ่งให้เหมาะกับสภาพผิวของเราด้วย และคลีนซิ่งต้องสามารถเช็ดทำความสะอาดเครื่องสำอางต่าง ๆ ออกไปได้อย่างหมดจด ไม่หลงเหลือบนใบหน้าจนทำให้เกิดสิว
คลีนซิ่งที่ดีหลังใช้แล้วผิวต้องเป็นอย่างไร?
หลังทำความสะอาดด้วยคลีนซิ่งแล้ว ผิวต้องไม่ทำให้ผิวแห้งตึง ไม่มีอาการแสบผิว ไม่เกิดการอักเสบ และอาการบวมแดง รวมถึงผิวต้องสะอาด ไม่มีคราบเครื่องสำอางหลงเหลืออยู่บนผิว
Cleansing สำหรับคนเป็นสิวต้องช่วยในเรื่องอะไรบ้าง?
สำหรับผู้ที่เป็นสิว คลีนซิ่ง ที่ใช้อาจต้องช่วยให้เรื่องของการเติมเต็มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วให้หลุดออกไป และช่วยกำจัดแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว อย่าง P. acne ด้วย เพราะการดูแลรักษาสิวที่ถูกต้องคือ ต้องควบคุมความมันด้วยการเติมความชุ่มชื้นลงไป จากนั้นก็ต้องมีการผลัดเซลล์ผิวเพื่อลดการอักเสบของสิวและทำให้สิวค่อย ๆ หายไป และต้องกำจัด P. acne ออกไป เพื่อป้องกันการเกิดสิวขึ้นอีกนั่นเอง