สารบัญ
รอยสิว มักเป็นปัญหาที่กวนใจสำหรับใครหลายๆคน เพราะเมื่อเป็นรอยแผลเป็นบนใบหน้าแล้วมักจะถูกสังเกตุเห็นได้ง่าย และหากจะแต่งหน้าก็ทำการปกปิดได้ยาก จึงทำให้เป็นปัญหาที่ไม่รู้จักจบสิ้น แต่เมื่อเป็นแล้วก็สามารถดูแลได้เช่นกัน
ซึ่งมีการดูแลรอยแผลเป็นอยู่หลายวิธีให้เลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลเองโดยธรรมชาติ การดูแลด้วยสารเคมี หรือการรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ทั้งนี้การดูแลแต่ละแบบจะมีระยะเวลาและวิธีการรักษาที่ต่างกันไป แต่มีจุดประสงค์เดียวกันนั่นก็คือ การทำให้รอยแผลเป็นจากสิวดูจางลงหรือหายไป
โดยบทความนี้จะมาบอกเกี่ยวกับวิธีการดูแลในรูปแบบต่างๆ ซึ่งจะช่วยลดรอยแผลเป็นและทำให้ผิวหน้าดีขึ้นได้
การดูแลโดยธรรมชาติ
การดูแลโดยวิธีธรรมชาติ เป็นวิธีที่ง่าย ราคาไม่แพงและมีมาตั้งแต่ในยุครุ่นของคุณปู่คุณย่าแล้ว วิธีนี้เราสามารถหาสมุนไพรที่มีฤทธิ์ดูแลผิวพรรณและรอยแผลเป็นได้จากข้างบ้านหรือตามตลาดนัด นับได้ว่าเป็นวิธีที่ง่ายและไม่ก่อให้เกิดอันตรายอีกด้วย
ซึ่งสมุนไพรที่สามารถใช้ในวิธีการดูแลรอยแผลเป็นจากสิวได้มีดังนี้
มะนาว
เป็นวัตถุดิบที่หาได้ง่ายมาก เป็นที่รู้จักกันดีว่ามะนาวมีวิตามินซีสูง ทำให้สามารถช่วยฟื้นฟูและดูแลรอยแผลเป็นได้ โดยนำน้ำมะนาวทาบริเวณแผลเป็น แล้วทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น เมื่อทำเป็นประจำจะช่วยให้แผลเป็นค่อยๆ จางลง
น้ำผึ้ง
เป็นแหล่งมอยส์เจอไรเซอร์จากธรรมชาติที่ดี ทำให้หลายคนนำไปทำมาส์กหน้าเพื่อให้หน้ามีความชุ่มชื่นมากขึ้น กับรอยแผลเป็นก็เช่นกันใช้น้ำผึ้งทาวนบนรอยแผลเป็นประมาณ 1 ชั่วโมงเป็นประจำ จะช่วยให้รอยแผลเป็นจางลงได้
ว่านหางจระเข้
สมุนไพรยอดฮิตที่ช่วยลบรอบแผลเป็นโดยเฉพาะ ใช้วุ่นของว่านหางจระเข้ทาบริเวณรอยแผลเป็น สามารถทำได้วันละหลายครั้ง โดยไม่เป็นอันตรายทำเป็นประจำ จะช่วยให้รอบแผลเป็นจางลงและยังทำให้ลดอาการแสบร้อน อีกทั้งยังทำให้ผิวชุ่มชื้นได้อีกด้วย
การดูแลโดยผลิตภัณฑ์สารเคมี
ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์มากมายที่ช่วยลดรอยแผลเป็นให้เลือกใช้ มีตั้งแต่แบบครีม เจล มาส์ก ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า เป็นวิธีที่ง่ายเนื่องจากสามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไปและวิธีการใช้ที่ง่ายไม่เสียเวลามากและอาจจะใช้ระยะเวลาน้อยกว่าการดูแลโดยวิธีธรรมชาติ ทำให้คนจำนวนมากนิยมซื้อผลิตภัณฑ์ลบรอยแผลเป็นมาใช้
แต่เพื่อให้แน่ใจว่าเหมาะกับสภาพผิวของเราและไม่เป็นอันตราย ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีการรับรองจากองค์กรที่น่าเชื่อถือและส่วนผสมของผลิตภัณฑ์นั้น เนื่องจากสารเคมีบางตัวหากเข้าสู่ผิวแล้วอาจก่ออันตรายได้มาก จึงต้องดูให้แน่ชัดมว่าไม่มีส่วนผสมที่ทำให้ผิวของเราแพ้หรือทำให้เกิดอันตรายต่อผิว
โดยผลิตภัณฑ์ที่ลบรอยแผลสิวได้ อาทิเช่น ในผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของคอร์ติโซน กรดซาลิไซลิค เรตินอยด์ กรดอัลฟ่าไฮดรอกซี แต่ทั้งนี้อาจต้องปรึกษาเภสัชกรในการใช้ขนาดของสารเคมีเหล่านั้น
การรักษาโดยแพทย์
การดูแลโดยแพทย์เป็นวิธีที่ค่อนข้างดูแลหายได้เร็วแต่ก็มีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ซึ่งการดูแลโดยแพทย์มีหลายวิธีมากตามความเหมาะสมของลักษณะแผลเป็นและลักษณะผิว หากมีอาการแพ้ยาควรรีบบอกแพทย์ก่อนทำการดูแลและควรรับการรักษาในสถานที่ที่น่าเชื่อถือและมีการรับรองการองค์กรที่เชื่อถือได้
เนื่องจากมีหลายคลินิกในปัจจุบันที่เป็นคลินิกที่ไม่ได้การรับรองมาตรฐาน และผู้ทำการดูแลไม่ใช่แพทย์ที่ได้การรับรองมาจริง ทั้งนี้ต้องสังเกตและพิจารณาสถานที่ดูแลเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดอันตรายหลังการรักษา การรักษาโดยแพทย์ตัวอย่างเช่น
การทำเลเซอร์
เป็นวิธีการที่ทางการแพทย์ใช้การดูแลรอยแผลเป็นจากสิว โดยจะช่วยผลัดเซลล์ให้ แผลเป็น ดูเรียบเนียบขึ้น ซึ่งแพทย์จะใช้อุปกรณ์ยิงลำแสงเลเซอร์ไปบนผิวหนังที่มีรอยแผลเพื่อกำจัดผิวหนังชั้นนอกออก และกระตุ้นเซลล์ผิวใหม่จากผิวชั้นกลางให้ผิวเรียบเนียนเสมอกัน
หลังจากทำเลเซอร์อาจจะต้องใช้เวลาหลายกว่าเพื่อให้ผิวฟื้นฟูอย่างเต็มที่ การดูแลด้วยเลเซอร์ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย
การฉีดสเตียรอยด์
เป็นวิธีที่แพทย์ใช้ดูแลแผลเป็นแบบนูน แพทย์จะฉีดสารคอร์ติโคสเตียรอยด์ อย่างเช่นไตรแอมซิโนโลน อีซีโตไนด์ (Triamcinolone Acetonide) เข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณที่เป็นแผลเป็น จะช่วยดูแลแผลเป็นให้หายได้
การศัลยกรรมเพื่อดูแลหลุมสิว
ในกรณีที่เป็นแผลเป็นที่มีลักษณะหลุมที่ลึกมากหรือเป็นแผลเป็นที่นูนมากจนทำให้ไม่สามารถดูแลได้โดยวิธีทั่วไป แพทย์จะทำการศัลยกรรมเพื่อรักษาหลุมสิวให้ โดยการตัดเลาะเอาเนื้อเยื่อบริเวณที่เป็นแผลเป็นออกไปแล้วเอาเนื้อเยื่อบริเวณอื่นมาปิดใส่แทน
ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นทางเลือกวิธีการดูแลรอยแผลเป็นจากสิวที่ดีที่สุดและปลอดภัย ซึ่งเราควรคำนึงอยู่เสมอว่าความสวยต้องมาพร้อมกับความปลอดภัยด้วย การใช้ปริมาณสารเคมีหรือวัตถุดิบจากธรรมชาติบางตัวที่มากเกินไปเพียงเพราะหวังว่าจะทำให้หายเร็วยิ่งขึ้นนั้นเป็นวิธีคิดที่ผิดและอาจทำให้เกิดอาการแพ้จนถึงขั้นเนื้อเยื่อผิวในบริเวณนั้นเสียหายหรือตายไปเลยก็ได้
ฉะนั้นเราควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสมและควรมีทดลองใช้ก่อนว่าผิวของเราไม่ได้แพ้สารเคมีหรือวัตถุดิบจากธรรมชาติตัวนั้นๆ ก่อนการใช้จริง เพื่อให้ได้ผิวหน้าที่สวยใสและไม่เกิดอันตรายตามมาภายหลัง