สารบัญ
สวัสดีค่ะทุกคน เชื่อได้เลยว่า หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า ผิวแห้ง กับ ผิว ขาด น้ํา มาก่อน และอาจมีความสงสัยว่า ผิวขาดน้ำ คือ อะไร ต่างจากผิวแห้งอย่างไร วันนี้แอดก็มีความรู้ดี ๆ มาฝากเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างผิวแห้งและผิวขาดน้ำ ว่า สภาพผิวทั้งสองแบบนี้ต่างกันหรือไม่ ถ้าต่างแล้วจะแตกต่างกันอย่างไร มาดูไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ
ผิว ขาด น้ำ คือ
ผิวขาดความชุ่มชื่น หรือสูญเสียความชุ่มชื้น สามารถเกิดได้ในทุกสภาพผิวและเกิดได้ทุกช่วงฤดูโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงบ่ายของหน้าร้อน อาการโดยทั่วไปของผิวขาดน้ำคือ มีลักษณะมันเยิ้ม มีน้ำมันเคลือบผิวอยู่มาก แต่เมื่อสัมผัสไปที่ผิวจะรู้สึกได้ถึงความแห้งกร้าน ผิวสาก และเป็นริ้ว ๆ นอกจากนี้ อาจมีปัญหาหน้าหมองคล้ำ ไม่สดใส ไม่นุ่ม ไม่เรียบเนียน และเมื่อจะเติมแป้งระหว่างวันก็มักจะทาแป้งไม่ติดผิว หรือ ทาแป้งลงบนผิวแล้วเป็นคราบ ไม่เรียบเนียน และเมคอัพหลุดลอกได้ง่าย
สำหรับผิวมัน
ผิวมันขาดน้ำ เป็นอย่างไร? จะเป็นลักษณะผิวที่มีน้ำมันอยู่บนใบหน้ามากแต่ก็มีความแห้งกร้าน ตึงผิว ซึ่งอาจก่อให้เกิดเป็นริ้วรอยและความหมองคล้ำบนใบหน้ามาก มักมีสาเหตุมาจากการทำให้ความมันบนผิวหายไปมากและไม่ได้เติมความชุ่มชื่นให้ผิวหน้า ทำให้ต่อมไขมันเร่งสร้างน้ำมันขึ้นมาให้มากขึ้นกว่าเดิมเพื่อชดเชยความชุ่มชื้นที่หายไป จนทำให้เกิดเป็นผิวมันแต่ขาดน้ำ ซึ่งอาจมาจากการล้างหน้าบ่อยเกินไป การใช้โฟมล้างหน้าที่ทำให้ผิวหน้าแห้งตึง การกำจัดคราบความมันส่วนเกินแบบผิดวิธี เป็นต้น
สำหรับผิวผสม
การเกิดผิวขาดน้ำแต่มีความมัน หรือหน้ามันทีโซน (บริเวณหน้าผาก จมูก และคาง) จะมีลักษณะคล้าย ๆ กับการเกิดผิวขาดน้ำในผิวมัน เนื่องจากบริเวณทีโซนเป็นบริเวณที่มีลักษณะแบบเดียวกันกับผิวมัน ส่วนบริเวณอื่นที่ไม่ใช่ส่วนของทีโซนอาจจะมีอาการผิวลอกเป็นขุย ผิวอักเสบ บางครั้งอาจเกิดสิวอักเสบขึ้นร่วมด้วย เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีลักษณะแห้ง หากขาดน้ำก็จะมีน้ำมันมาเคลือบแต่จะสากและแห้งมากขึ้นกว่าเดิม
สำหรับผิวประเภทอื่น ๆ
อย่างผิวแห้ง และผิวแพ้ง่ายก็สามารถเป็นผิวขาดน้ำได้เช่นกัน ซึ่งจะมีอาการคล้าย ๆ กันคือ มีน้ำมันมาเคลือบอยู่บนผิวหน้า ซึ่งอาจจะมีความมันไม่มากเท่าในผิวมันและผิวผสม แต่จะมีอาการแห้งกร้าน ผิวหยาบ ผิวหลุดลอก และผิวอักเสบแดงคันได้มากกว่าในผิวมันและผิวผสม
วิธีการดูแล ผิว ขาด น้ำ
- การดูแลรักษาผิวขาดน้ำ คือ เน้นเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เติมน้ำให้ผิวหน้า ไม่จำเป็นต้องมีส่วนประกอบของน้ำมัน แต่อาจจะมีส่วนประกอบที่เป็นความชุ่มชื้นที่ได้จากธรรมชาติ เช่น สาหร่ายทะเลน้ำลึก สารให้ความชุ่มชื้น เป็นต้น
- ทาเซรั่มวิตามินซีเข้มข้นเพื่อฟื้นฟูโครงสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรง เพิ่มการสร้างคอลลาเจนในใต้ชั้นผิว และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวแบบล้ำลึก
- ทามอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำเพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นบนผิว
- รวมถึงการดื่มน้ำเยอะ ๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อชดเชยน้ำที่ขาดหายไปในโครงสร้างเซลล์ผิว
ผิวแห้ง คือ
สภาพผิวที่มีมาแต่กำเนิด เป็นสภาพผิวที่มีการทำงานของต่อมไขมันน้อย จึงทำให้ผิวไม่ค่อยมีความมันส่วนเกินมากนัก ข้อดีของผิวแห้งคือ เกิดการอุดตันและเป็นสิวได้น้อยกว่าในทุกสภาพผิว เนื่องจากไม่ค่อยมีความมันมาอุดตันในรูขุมขนและไม่มีการระคายเคืองผิวจากความมันส่วนเกิน
แต่ข้อเสียของผิวแห้งก็คือ ผิวมักจะขาดความชุ่มชื้นอยู่บ่อย ๆ และผิวมีริ้วรอยได้ง่ายกว่าผิวแบบอื่น เนื่องจากในผิวแห้งจะมีการสร้างโปรตีนและคอลลาเจนใต้ชั้นผิวน้อยกว่าสภาพผิวอื่น จึงทำให้เกิดปัญหาริ้วรอยก่อนวัยและผิวหมองคล้ำได้ง่าย
ในช่วงหน้าหนาวเป็นเวลาที่ผิวแห้งมีโอกาสสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่ายกว่าทุกช่วงของปี เนื่องจากหน้าหนาวเป็นช่วงที่มีสภาพอากาศหนาวเย็น แห้ง และมีลมพัด ทำให้ผิวมักจะสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย ปัญหาของผิวแห้งในฤดูหนาวก็คือ ความแห้งกร้านที่มีมากขึ้น ผิวลอกเป็นขุย ผิวระคายเคือง อักเสบ แดง คัน จากสภาพอากาศที่แห้งและผิวสูญเสียความชุ่มชื้น
วิธีการดูแลผิวแห้ง
วิธีรักษาผิวแห้งมาก สามารถทำได้ง่าย ๆ อย่างเช่น
- เลือกใช้โฟมล้างหน้าที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ไม่ทำให้ผิวแห้งตึง และเหมาะกับผิวแห้ง
- มาส์กหน้าบ่อยๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า
- ทาครีมบำรุงหน้า หรือ เอสเซนส์ที่เป็นสูตรสำหรับผิวแห้ง อาจจะมีส่วนผสมของสารที่ให้ความชุ่มชื้นสูง เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว และทามอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำเพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นไว้บนผิวหน้าให้นานที่สุด