สารบัญ
“ฝ้า” คือภาวะที่ผิวในบางพื้นที่ของใบหน้ามีสีเข้มกว่าผิวโดยรอบ มักจะปรากฏเป็นรอยดำปื้น ๆ ขนาดใหญ่ และมักเกิดขึ้นที่ใบหน้า พบมากในบริเวณหน้าผาก แก้ม และเหนือริมฝีปากบน รอยด่างดำที่เกิดจากฝ้ามักจะปรากฏบนทั้ง 2 ด้านของใบหน้าในรูปแบบที่เกือบจะเหมือนกันเป๊ะ และผิวที่มีสีเข้มขึ้นนี้จะเป็นเฉดสีใดก็ได้ โดยจะมีสีตั้งแต่สีแทนไปจนถึงสีน้ำตาลเข้ม ซึ่งปัญหาผิวหนังชนิดนี้ส่งผลต่อความมั่นใจของผู้ที่มีฝ้าปรากฏบนใบหน้าเป็นอย่างมาก วิธีการรักษาฝ้าให้หายขาดในปัจจุบันนี้สามารถเป็นไปได้ แต่คุณก็จะต้องเข้าใจว่าการรักษาฝ้าจะต้องใช้เวลา อย่าคาดหวังว่าจะเห็นผลลัพธ์ในการเปลี่ยนแปลงเพียงแค่ 5 – 6 วันเท่านั้น และต้องใช้วิธีการรักษาอย่างถูกต้อง มีความเข้าใจกับปัญหาในการเกิดฝ้าอย่างแท้จริง ก็จะทำให้มีการกู้คืนใบหน้าที่สวยสดใสของคุณกลับคืนมาได้อย่างปลอดภัย และมีผิวที่แข็งแรงมากขึ้นกว่าเดิม
ทำความรู้จักกับ ฝ้า
ฝ้า เป็นปัญหาผิวหนังที่พบในผู้หญิงได้บ่อยมากกว่าผู้ชาย และมักจะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่คนท้องจำนวนมากพบว่าตัวเองมีฝ้าปรากฏขึ้นมาขณะที่ตั้งครรภ์ ถึงแม้ว่าในช่วงก่อนหน้านั้นจะไม่เคยมีปัญหาผิวหน้าในลักษณะนี้มาก่อนเลยก็ตาม ซึ่งรอยคล้ำบนใบหน้านี้จะอยู่จนกว่าคุณจะคลอดลูกออกมา และนอกเหนือไปจากปัจจัยในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนของคนท้องแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการทำให้เกิดฝ้า ก็คือการที่ผิวหน้าไปสัมผัสกับแสงแดดเป็นระยะเวลานานและบ่อยครั้ง รวมไปถึงการทายาหรือทานยาบางชนิดที่ทำให้ผิวเกิดภาวะไวต่อแสง และการใช้เครื่องสำอางหรือสกินแคร์บางชนิดที่ผิดประเภทก็อาจจะส่งผลให้เกิดฝ้าได้ด้วย
อาการที่เกิดจาก ฝ้า
รอยคล้ำที่เกิดจากฝ้าจะปรากฏขึ้นที่บริเวณหน้าผาก ขมับ แก้ม หรือ เหนือริมฝีปากบน และไม่ว่าฝ้าจะมีสีคล้ำหรือสีอ่อนก็ตาม คุณจะไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือไม่รู้สึกคันใด ๆ ทั้งสิ้น เพียงแค่เกิดความหมองคล้ำปรากฏขึ้นมาบนผิวหนังเท่านั้น
ระยะเวลาที่ฝ้าจะยังคงอยู่
โดยทั่วไปแล้วรอยคล้ำที่เกิดจากฝ้าจะคงอยู่ไปตลอดในช่วงภาวะการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน หรือจนกว่าหยุดใช้ยาฮอร์โมน หรือในคุณแม่ตั้งท้องก็อาจจะมีฝ้าขึ้นได้ไปจนกว่าการตั้งครรภ์ของคุณแม่จะสิ้นสุดลง รวมไปถึงฝ้าที่เกิดจากแสงแดดก็จะอยู่เป็นปัญหาผิวหน้าระยะยาว และเมื่อเรามีการพยายามปกป้องใบหน้าจากแสงแดด ฝ้าจะค่อย ๆ จางลง ซึ่งใช้ระยะเวลาหลายเดือน แต่สำหรับบางคนฝ้าจะยังคงฝังแน่นอยู่อย่างนั้นและไม่มีทีท่าจะจางลงเลย
เคล็ดลับการป้องกันไม่ทำให้เกิดฝ้า
วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันฝ้าก็คือ การไม่นำใบหน้าไปโดนแสงแดดโดยตรง และถ้าหากคุณมีความจำเป็นจะต้องตากแดดจริง ๆ การขอให้ใช้วิธีป้องกันเหล่านี้
- การสวมหมวกปีกกว้างเพื่อป้องกันใบหน้าจากแสงแดด หรือ พยายามกางร่มที่มีการเคลือบสารป้องกัน UV
- การทาครีมกันแดดสำหรับใบหน้า แนะนำว่าให้คุณเลือกใช้ครีมกันแดดหน้าที่สามารถป้องกันได้ทั้งรังสีอัลตราไวโอเลต A และรังสีอัลตราไวโอเลต B และครีมกันแดดที่เลือกใช้ควรมีค่า SPF อย่างน้อย 50 PA+++
อ่านเพิ่มเติม : ครีมกันแดด ตัวช่วยเบอร์หนึ่งป้องกันฝ้า
วิธีการรักษาฝ้า
เมื่อระดับฮอร์โมนในร่างกายเราคงที่ รอยคล้ำที่เกิดจากฝ้าก็มักจะจางลงไปเอง ผู้หญิงหลาย ๆ คนที่เป็นฝ้าที่เกิดจากการตั้งครรภ์มักจะพบว่ารอยคล้ำจางลงหลังจากที่คลอดทารกไปแล้ว ส่วนผู้หญิงที่กินยาคุมกำเนิดหรือมีการบำบัดด้วยฮอร์โมนทดแทน มักจะเห็นว่าฝ้าจางลงเมื่อหยุดใช้ยาฮอร์โมนเหล่านั้น นอกจากนี้เพื่อย่นระยะเวลาในการรักษาฝ้าให้สั้นลง เราก็มีเคล็ดลับดี ๆ มาแนะนำกัน
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของวิตามินซี เพราะเป็นวิตามินที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการเกิดเม็ดสีผิว และยังสกัดกั้นกระบวนการทางเคมีตามธรรมชาติที่นำไปสู่การสร้างเมลานินซึ่งเป็นสารที่ทำให้ผิวคล้ำเสีย
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของเรตินอล ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของวิตามิน A ชนิดหนึ่งที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพแล้วให้หลุดออกจากผิวอย่างอ่อนโยน ทำให้เซลล์ผิวที่ตายแล้วหลุดออกไป และกระตุ้นให้เซลล์ผิวใหม่สร้างขึ้นมา ซึ่งจะส่งผลทำให้ปัญหาฝ้าจางลงเร็วขึ้นเมื่อเซลล์เม็ดสีหลั่งออกมา
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ Glabridin หรือสารสกัดจากชะเอมเทศ ช่วยลดจุดด่างดำ ฝ้ากระ รอยดำรอยแดงจากสิว และยับยั้งกระบวนการผลิตเม็ดสีผิวอันเป็นต้นเหตุความหมองคล้ำของผิวหน้า
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากถั่วเหลือง (Soybean Extract) เพราะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ผิวให้แข็งแรง สารสกัดจากถั่วเหลืองจะช่วยลดการถ่ายโอนกระบวนการผลิตเม็ดสีที่มากเกินไปจากเมลาโนไซต์ไปยังเซลล์ผิวชั้นใน อีกทั้งยังเป็นส่วนผสมที่มีความเป็นธรรมชาติมาก ๆ
อ่านเพิ่มเติม : เซรั่มวิตามินซี คืนผิวหน้าใสไร้ฝ้ากระ
แนะนำให้หลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ ช่วยบรรเทาการลุกลามของฝ้า
หลังจากที่คุณพบว่าใบหน้าของคุณเริ่มมีปรากฏร่องรอยความหมองคล้ำ หรือปรากฏลักษณะของฝ้าขึ้นมาแล้ว เพื่อเป็นการชะลอหรือตัดวงจรไม่ทำให้ฝ้า เกิดจุดดำคล้ำ หรือเกิดความหม่นหมองคล้ำสีเข้มมากขึ้นเข้าไปอีก เราขอแนะนำให้คุณหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้
- การรักษาด้วยยาหรือครีมฮอร์โมน โดยเฉพาะการรักษาที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเอสโตรเจน
- การคุมกำเนิด โดยเฉพาะยาเม็ดคุมกำเนิดที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน
- หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน หรือดูแลผิวไม่ให้สัมผัสโดยตรงกับแสงแดดแรงๆ เป็นเวลานาน รวมไปถึงแสงไฟจากหลอด LED จากโทรทัศน์ แล็ปท็อป โทรศัพท์มือถือ และแท็บเล็ตของคุณ (อาจติดฟิล์มกรองแสงถ้าคุณต้องทำงานกับอุปกรณ์เหล่านี้เป็นประจำ)
- สกินแคร์และเครื่องสำอางที่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวของคุณ
- สบู่ที่มีความหอมอย่างรุนแรง เพราะอาจมีส่วนผสมของน้ำหอมมากจนเกินไป
- หลีกเลี่ยงการแว๊กซ์ขนบนใบหน้า หรือหลีกเลี่ยงการลอกสิวเสี้ยนอย่างรุนแรงบนใบหน้า
ฝ้าแก้ยากแต่แก้ได้ ซึ่งเราขอแนะนำให้คุณหมั่นสำรวจสุขภาพผิวของตนเองเป็นประจำ เพราะทันทีที่คุณเริ่มสังเกตเห็นสัญญาณของความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง หรือเกิดความผิดปกติใดบางอย่าง คุณจะได้หาวิธียับยั้งไม่ให้ปัญหานั้นลุกลามบานปลาย การรักษาฝ้าสีอ่อนอย่างไรก็ใช้เวลาน้อยกว่าการรักษาฝ้าสีเข้ม ดังนั้นทันทีที่คุณรู้ว่าตัวเองเริ่มมีฝ้าปรากฏขึ้นมาแล้ว ให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมบางอย่างตามคำแนะนำที่เราได้แนะนำเอาไว้ในข้างต้น และเลือกทาสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยยับยั้งสีเมลานินและกำจัดฝ้าได้อย่างชะงัก ที่สำคัญที่สุดก็คือการทากันครีมกันแดดเป็นประจำ ซึ่งจะช่วยทำให้คุณเห็นผลของการเปลี่ยนแปลงได้เร็วขึ้น